หน้าแรก / Lifestyle / ไปเที่ยวกันเถอะ
By Wheel Share Team 9 ธ.ค. 2567 177
ฉันเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยว อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กพ่อรับราชการต่างจังหวัด ฉันต้องอยู่กับคุณปู่คุณย่าจึงไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน เพราะคุณปู่คุณย่าเป็นห่วงกลัวจะเกิดอันตรายต่างๆ นาๆ ตอนเด็กเวลาไปไหนมาไหนจะมีคนไปรับไปส่งตลอด
อายุประมาณ 10 ขวบ ฉันกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ ก็ยังคงไม่ค่อยได้ไปไหนเพราะพ่อแม่เป็นห่วงเรามากกว่าคุณปู่คุณย่าซะอีก ช่วงนั้นชีวิตรันทดมากอยากจะขึ้นรถเมล์ก็ไม่ได้ขึ้น อยากจะนั่งวินมอเตอร์ไซด์ก็ไม่ได้นั่ง รู้สึกว่าทำไมชีวิตรันทดเหลือเกิน !!!
จนฉันเข้าสู่วัยรุ่น ด้วยความที่ติดเพื่อนอยากไปไหนมาไหนกับเพื่อนบ้าง ฉันตัดสินใจใช้วิธีไปก่อนแล้วค่อยกลับมาบอกทีหลัง แหม ช่วงเวลาครั้งแรกที่ได้นั่งรถเมล์ไปเซ็นทรัลกับเพื่อนนี่มันช่างหอมหวานเหลือเกิน ฉันทำบ่อยๆ ไปไหนมาไหนเอง พอผ่านไปได้ซัก 3-4 วันก็จะกลับมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง จนในที่สุดก็เหมือนท่านจะเป็นห่วงน้อยลง
แต่แล้วฉันก็มาเกิดอุบัติเหตุ “รถชนกับรถบรรทุกทราย” จนได้รับบาดเจ็บทางไขสันหลังและคงเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต ต้องนั่งรถวีลแชร์ ใช้ชีวิตบนรถวีลแชร์แทบจะตลอดเวลายกเว้นตอนนอน
โอ้โห ขุ่นพระขุ่นเจ้า ชีวิตเปลี่ยนกันเลยทีเดียว
ความเป็นห่วงที่ดูเหมือนจะน้อยลงกลับพรุ่งปรี๊สสขึ้นมาใหม่ จนปรอดแทบแตก ซึ่งฉันเข้าใจความรู้สึกของทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ไม่มีใครอยากให้ลูกที่พิการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้หญิงออกจากบ้านไปไหนไกลหูไกลตา ทุกคนคงยังจำความรู้สึกที่เกือบจะสูญเสียฉันไปกับอุบัติเหตุครั้งนั้นได้
ฉันถูกเก็บไว้ในอกของทุกคนในครอบครัว แทบไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลกับบ้าน แต่ไม่ได้รู้สึกซึมเศร้าอะไรมากนะคะ เพราะเพื่อนมาหาตลอดเกือบทุกวันเป็นระยะเวลา 4 ปี ช่วงเวลานั้นบ้านเรากลายเป็นสโมสรนัดพบไปแล้ว ก็เลยคิดว่าเราควรออกไปข้างนอกบ้านบ้าง ไปเจอกับเพื่อนข้างนอกเหมือนคนทั่วไป บางทีเราก็อยากโบกมือบ๊ายบายคนอื่นก่อน เพราะที่ผ่านมาเราโดนคนนั้นคนนี้โบกมือบ๊ายบายก่อนตลอดเลย
แต่ แต่ แต่!!! มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พ่อแม่จะอนุญาตให้ฉันไปไหนๆ อีกครั้งโดยที่ท่านไม่กังวลใจ อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาใหญ่ของคนพิการเลยก็ว่าได้ ฉันจะทำยังไงดี
ฉันกลับมาเรียนหนังสือเหมือนเดิม อาจจะช้ากว่าเพื่อนๆ (แต่ก็มาทันกันตอนปริญญาโท) “สงสัยรถชนแล้วฉันคงกระทบกระเทือนทางสมอง” แม่เคยแซวแบบนี้เพราะเห็นฉันนั่งอ่านหนังสือสอบจนตี 3 ตี 4 เมื่อก่อนสมัยเดินได้ไม่เคยมีปรากฏ การเรียนหนังสือมันเหมือนเปิดกะลาแลนด์ ฉันตั้งใจมากและสามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ภายใน 3 ปี พ่อกับแม่มีความสุขมาก และฉันเรียกความเชื่อถือเชื่อใจจากพ่อกับแม่กลับมาได้อีกครั้ง
“มึงไม่ต้องกลัวคนมอง พวกเราไปกันเยอะ มึงไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาทันทีที่ฉันตัดสินใจจะออกไปเที่ยวกับพวกมันเป็นครั้งแรก และเมื่อผ่านการเปิดซิงไปแล้ว ฉันทำทุกอย่างเหมือนเพื่อนทำ กินดื่มเที่ยว ทุกที่ที่เพื่อนไป ความมั่นใจของฉันกลับคืนมา เป็นตัวของตัวเอง ชีวิตของฉันมีอิสระ (Independent)
ฉันเรียนจบปริญญาโท เปิดบริษัทผลิตรายการท่องเที่ยวทางโทรทัศน์ เดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ที่เราอยากไปทุกที่ ฉันทำรายการท่องเที่ยวเป็นเวลากว่า 10 ปี ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ตนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยเบื่อ แต่สนุกมาก และอยากให้คนพิการอื่นๆ ไปด้วยกัน ก็เลยจัดกิจกรรมสัญจรให้คนพิการอื่นๆ ร่วมเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับฉันอยู่หลายปี
สำหรับคนพิการนั้นเรื่องการออกจากบ้านเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ก้าวผ่านความกลัวและความเขินอาย ฉันค้นพบว่าคนทุกคนมีความแตกต่าง และความแตกต่างของร่างกายเราเป็นเพียงแค่หนึ่งความต่างเท่านั้น
ลุกขึ้นมาแล้วออกไปข้างนอกบ้านกันเถอะ ยังมีเรื่องดีๆ รอเราอยู่นอกบ้านอีกเยอะแยะ
“ ไม่ต้องกลัวคนมอง พวกเราไปกันเยอะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ” เชื่อฉันนะ
เขียนโดย เพชรน้ำหนึ่ง ศรีวรรธนะ
Wheel Share Team
19 มี.ค. 2568· 4 min read
23 ก.พ. 2568· 4 min read